มาถึงวันนี้คนส่วนใหญ่คงรู้จักเทคโนโลยี “บลูทูธ” ที่กลายเป็นมาตรฐานทั่วไปสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้กันอยู่ โดยเฉพาะอุปกรณ์
สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายผ่านคลื่นความถี่วิทยุ ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ชั้นนำของโลกที่รวมตัวกันในนาม Special Interest Group (SIG)
เพื่อผลักดันให้เกิดมาตรฐานการสื่อสารไร้สาย ให้อุปกรณ์เครื่องใช้เครื่องมือทั้งหลายสามารถสื่อสารเพื่อรับ-ส่งข้อมูลระหว่างกัน ไม่ต้อง
เสียเวลายุ่งยากกับการใช้สายเคเบิลเชื่อมต่อให้รกรุงรังและเสียเวลา ตั้งแต่การเริ่มต้นผลักดันมาตรฐานของบลูทูธหรือฟันสีฟ้า มาจนถึงปัจจุบันก็ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เวอร์ชั่น 1.0
จนล่าสุดปัจจุบันมีกระแสข่าวว่ามาตรฐานของสเปกของเวอร์ชั่น 4.2 จะเพิ่มความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน การเชื่อมต่อไร้สายเป็นไปด้วยความรวดเร็วกว่าเวอร์ชั่นเก่าๆถึงสองเท่าครึ่ง ที่สำคัญยังสามารถนำ IP ของอุปกรณ์นั้นๆ เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆที่รองรับ ซึ่งหมายความว่าบลูทูธรุ่นใหม่นี้จะสามารถเชื่อมกับอินเตอร์เน็ตได้โดยตรง
สำนักข่าวออนไลน์รายงานว่า ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวตามทฤษฎีของการเชื่อมต่อจะช่วยให้การควบคุมอุปกรณ์ “สมาร์ทโฮม” เป็นไปแบบง่ายดายขึ้น เช่น การสั่งให้เปิด-ปิดหลอดไฟในบ้าน สั่งเปิดเครื่องปรับอากาศก่อนจะกลับถึงบ้าน สั่งเปิด-ปิดประตูรั้ว เป็นต้น
สามารถสั่งผ่านทางบลูทูธเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้โดยตรงโดยไม่ต้องสั่ง ผ่านอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งทางกลุ่มผู้พัฒนาระบุว่ามาตรฐานใหม่จะสร้างตลาดให้มีขนาดใหญ่พอที่จะชักจูงให้นักพัฒนาอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆสามารถสื่อสารและเชื่อมต่อกันได้ และมาตรฐาน 4.2 จะเป็นพื้นฐานของอินเตอร์เน็ตในอนาคต
อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติของเวอร์ชั่น 4.2 จะไม่สามารถเชื่อมต่อกับเวอร์ชั่นรุ่นเก่าได้ทั้งหมด อาจจะทำงานร่วมกับเวอร์ชั่นตั้งแต่ 4.0 ขึ้นมาเป็น บางผลิตภัณฑ์ได้ และผลิตภัณฑ์ที่ใช้เวอร์ชั่นเดิมจะต้องทำการอัพเดตก่อน
เพราะข้อจำกัดหลายด้าน บลูทูธรุ่นใหม่ถูกพัฒนาให้ยากต่อการติดตามอุปกรณ์ พร้อมยกตัวอย่าง เมื่อมีการช็อปปิ้งร้านขายผลิตภัณฑ์แอปเปิล ร้านแอปเปิลจะใช้ iBeacons ซึ่งเป็นเทคโนโลยีบอกพิกัด อำนวยความสะดวกบอกให้ลูกค้าทราบว่าผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการในร้านอยู่ตรงไหน แต่เมื่อใช้เวอร์ชั่น 4.2 แล้วจะไม่สามารถติดตามลูกค้าได้เว้นเสียแต่ว่าลูกค้าจะอนุญาตให้ส่งข้อมูลผลิตภัณฑ์ในร้านได้
ขณะนี้มาตรฐานใหม่ของบลูทูธพร้อมแล้ว แต่ผู้บริโภคยังต้องรอไปสักระยะหนึ่งก่อน เพราะผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ทั้งหลายจะต้องใช้เวลาจัดเตรียมอุปกรณ์ก่อนที่จะติดตั้งมาพร้อมอุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ
อาจจะได้เริ่มใช้กันในปีหน้า!!
